คลังคาดเศรษฐกิจดีกว่าคาด ปรับจีดีพีปี 68 โต 2.2%

Jul 31, 2025 IDOPRESS
‘คลัง’ ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 68 โต 2.2 ตามทิศทางไอเอ็มเอฟ รับอานิสงส์ภาคการผลิต ส่งออก การบริโภคดีเกินคาด แต่ท่องเที่ยวฟุบ

‘คลัง’ ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 68 โต 2.2 ตามทิศทางไอเอ็มเอฟ รับอานิสงส์ภาคการผลิต ส่งออก การบริโภคดีเกินคาด แต่ท่องเที่ยวฟุบ

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สศค. ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 68 โดยคาดจะขยายตัวที่ 2.2% ต่อปี ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นจากเดิมที่คาดจะโต 2.1% โดยทิศทางนี้สอดคล้องกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่เพิ่งปรับเพิ่มจีดีพีไทยจาก 1.8% เป็น 2% 

ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยมาจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การผลิตภาคอุตสาหกรรม จะกลับมาขยายตัว  1.2% ต่อปี จากที่หดตัว  0.4% ในปีก่อน โดยเฉพาะจากการฟื้นตัวของการผลิตยานยนต์ และแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ต่อมาเป็นการส่งออก คาดจะขยายตัวที่ 5.5% เพิ่มจากประมาณการครั้งก่อนที่ 2.3% เนื่องจากมีการเร่งนำเข้าของประเทศคู่ค้าที่สูงกว่าคาดในครึ่งแรก เช่นเดียวกับการนำเข้าที่ขยายตัว  5.0% โดยมาจากการนำเข้าสินค้าทุนเพื่อนำมาผลิตเพิ่ม 

ส่วนสุดท้ายมาจากการบริโภคภาคเอกชน คาดจะขยายตัว 3.1% เห็นได้จากการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ขยายตัวดีต่อเนื่อง 9 ไตรมาส

การลงทุนภาคเอกชน จะขยายตัวที่ 3.0%  การขอรับการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอกว่า 1 ล้านล้านบาท  การบริโภคภาครัฐ คาดจะขยายตัว  1.2% ต่อปี การลงทุนภาครัฐ 3.9% ต่อปี หลังการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่อง และยังมีงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาท ที่ได้ทยอยเบิกจ่ายลงสู่ระบบเศรษฐกิจแล้ว อย่างไรก็ตาม ภาคการท่องเที่ยวมีการปรับประมาณการลดลงจากเดิม คาดจะมีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามา 35.5 ล้านคน ลดเหลือ 34.5 ล้านคน ทำให้รายได้ลดจาก 1.67 ล้านล้านบาท เหลือ 1.62 ล้านล้านบาท

นายพรชัย กล่าวว่า การประมาณการเศรษฐกิจในครั้งนี้ ได้นำผลกระทบจากสถานการณ์ต่างๆ เช่น น้ำท่วมภาคเหนือ และเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา มาคำนวณด้วยแล้ว และได้เตรียมมาตรการรองรับไว้แล้วด้วย ส่วนความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ประเมินว่าผลกระทบมีจำกัดอยู่เฉพาะในพื้นที่ชายแดน เนื่องจากมูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา คิดเป็นเพียง 1.4% ของการค้าทั้งหมด และการพึ่งพานักท่องเที่ยวจากกัมพูชาก็มีน้อย จุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต และพัทยา ก็อยู่ห่างจากพื้นที่ขัดแย้งเป็นอย่างมาก

ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามใกล้ชิดระยะต่อไป ได้แก่ นโยบายด้านภาษีของสหรัฐและผลกระทบทางอ้อมจากการไหลเข้าของสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีที่ย้ายตลาดเข้าสู่ไทยมากขึ้น ทิศทางของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในและนอกประเทศ ระดับหนี้ครัวเรือนของภาคประชาชน และการย้ายฐานการลงทุนและการผลิตในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีของสหรัฐ